ในโลกปัจจุบัน สื่อต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเรานั้นมักจะนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ที่เต็มไปด้วยเรื่องความรุนแรง เรื่องที่ทำให้จิตใจวิตกกังวล หรือชวนชักนำให้ใจเต็มไปด้วยความทะยานอยากได้อันไม่สิ้นสุด ท่ามกลางสื่อเหล่านั้น เวปเล็กๆ แห่งนี้ได้นำเสนอสื่อศีลธรรมที่จะเป็นแนวทาง และแรงบันดาลใจในการส่งเสริมศีลธรรมให้ผู้คนได้ทำความดี ได้พัฒนานิสัยของตนเองด้วยศีลธรรม เพื่อเป้าหมายการดำรงชีวิตด้วยความสุขอย่างแท้จริงสืบต่อไป
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
The Lord Buddha
มินิซีรีส์ 14 สามเณรอรหันต์
Mini-Series Animation "Idols 14 Arahan"
ภาพยนตร์แอนิเมชั่น และมินิซีรีส์
Animation Movies & Mini-Series
รายการเล่น | Playlist
Mini Media Playlist
มิวสิควีดีโอ | MV
Music Video
พุทธานุภาพ ปราบทัพพญามาร 2D
การอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ เปรียบเสมือนดวงสุริยาที่ทอแสงให้ความสว่างในชีวิตแก่สรรพสัตว์ทั้งปวงโดยไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง พระพุทธองค์เสด็จมาเพื่อประโยชน์สุขของมวลมนุษยชาติและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ดังพุทธพจน์ที่กล่าวไว้ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลเอกเมื่ออุบัติขึ้นในโลก ย่อมอุบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขของมหาชน เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย" บุคคลเอก คือ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า การที่เราหมั่นตรึกระลึกนึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์ จึงถือเป็นการเจริญพุทธานุสติ มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ การทำเช่นนี้มีอานิสงส์ใหญ่ จะส่งผลให้เราได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายในได้โดยง่ายโดยเร็วพลัน
พุทธานุภาพ ปราบทัพพญามาร
การอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ เปรียบเสมือนดวงสุริยาที่ทอแสงให้ความสว่างในชีวิตแก่สรรพสัตว์ทั้งปวงโดยไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง พระพุทธองค์เสด็จมาเพื่อประโยชน์สุขของมวลมนุษยชาติและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ดังพุทธพจน์ที่กล่าวไว้ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลเอกเมื่ออุบัติขึ้นในโลก ย่อมอุบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขของมหาชน เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย" บุคคลเอก คือ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า การที่เราหมั่นตรึกระลึกนึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์ จึงถือเป็นการเจริญพุทธานุสติ มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ การทำเช่นนี้มีอานิสงส์ใหญ่ จะส่งผลให้เราได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายในได้โดยง่ายโดยเร็วพลัน
เพลงพุทธประวัติ
เพลง พุทธประวัติ .. คำร้อง ตะวันธรรม .. ทำนอง/เรียบเรียง/ขับร้อง ปัญจสิขะ .. คำแปลภาษาอังกฤษ ดร.อนัญญา เมธมนัส .. คำแปลภาษาจีน แอนโทนี่ อั้งประเสริญ .. ภาพ พุทธศิลป์
เมื่อเรืออับปางอยู่กลางทะเลอันกว้างใหญ่ ท่านไม่หวั่นไหวต่ออันตรายได้แบกมารดา ฝ่าคลื่นลมแรงด้วยแรงแห่งมหากรุณา แหวกว่ายธาราเพื่อพามารดาไปสู่จุดหมาย เกิดแรงบันดาลตั้งปณิธานเป็นพระสัมมา กลางสายธาราเพื่อจะขนพาหมู่สัตว์ทั้งหลาย เข้าสู่นิพพานพ้นจากสังสารและหมู่มารร้าย แม้ชีพวางวายก็ไม่เสียดายเพื่อสร้างบารมี เมื่อกาลผ่านไปหลายอสงไขยบารมีเต็มเปี่ยม เทพไท้ต่างเตรียมอาราธนาจากดุสิตบุรี เพื่อตรัสรู้ธรรมอันประเสริฐเป็นพระชินสีห์ โปรดสัตว์ผู้มีบารมีจากภพสามนี้สู่พระนิพพาน ช่างงามอร่ามเรืองกว่าผู้ใดในเทวสภา รับอาราธนาเสด็จลงมาด้วยใจชื่นบาน สัตว์โลกพ้นกรรมด้วยพระธรรมมีสุขสราญ ขอกราบกรานปทุมบาทพระศาสดา
ความสำคัญวันมาฆบูชา
วันมาฆบูชา (บาลี: Māgha Pūjā, มาฆปูชา; อักษรโรมัน: Magha Puja) เป็นวันสำคัญของชาวพุทธเถรวาทและวันหยุดราชการในประเทศไทย "มาฆบูชา" ย่อมาจาก "มาฆปูรณมีบูชา" หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะตามปฏิทินอินเดีย หรือเดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย (ตกช่วงเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม) ถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส คือมีเดือน 8 สองหน (ปีอธิกมาส) ก็เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 3 หลัง (วันเพ็ญเดือน 4)
วันมาฆบูชาได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางศาสนาพุทธ เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน คือ พระโคตมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา คัมภีร์ปปัญจสูทนีระบุว่าครั้งนั้นมีเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ คือ พระภิกษุ 1,250 รูป ได้มาประชุมพร้อมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย, พระภิกษุทั้งหมดนั้นเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง, พระภิกษุทั้งหมดนั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6, และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญเดือน 3 ดังนั้น จึงเรียกวันนี้อีกอย่างหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4
ความสำคัญวันวิสาขบูชา วันสำคัญสากลโลก
วันวิสาขบูชา (บาลี: วิสาขปุณฺณมีปูชา; อังกฤษ: Vesak) เป็นวันสำคัญทางศาสนาพุทธสำหรับพุทธศาสนิกชนทุกนิกายทั่วโลก ทั้งเป็นวันหยุดราชการในหลายประเทศ และวันสำคัญในระดับนานาชาติตามข้อมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ เพราะเป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญที่สุดในศาสนาพุทธ 3 เหตุการณ์ด้วยกัน คือ การประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระโคตมพุทธเจ้า โดยทั้งสามเหตุการณ์ได้เกิด ณ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 หรือวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ (ต่างปีกัน) ชาวพุทธจึงถือว่า เป็นวันที่รวมเกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ยิ่ง และเรียกการบูชาในวันนี้ว่า "วิสาขบูชา" ย่อมาจาก "วิสาขปุรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" อันเป็นเดือนที่สองตามปฏิทินของอินเดีย ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย และมักตรงกับเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายนตามปฏิทินจันทรคติของไทย โดยในประเทศไทย ถ้าปีใดมีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 7
วันวิสาขบูชา นั้นได้รับการยกย่องจากพุทธศาสนิกชนทั่วโลกให้เป็นวันสำคัญสากลทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากเป็นวันที่บังเกิดเหตุการณ์สำคัญ 3 เหตุการณ์ ที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้าและจุดเริ่มต้นของศาสนาพุทธ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดได้เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน ณ ดินแดนที่เรียกว่าชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล โดยเหตุการณ์แรก เมื่อ 80 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ" ณ ใต้ร่มสาลพฤกษ์ ในพระราชอุทยานลุมพินีวัน (อยู่ในเขตประเทศเนปาลในปัจจุบัน) และเหตุการณ์ต่อมา เมื่อ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันที่เจ้าชายสิทธัตถะได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ณ ใต้ร่มโพธิ์พฤกษ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม (อยู่ในเขตประเทศอินเดียในปัจจุบัน) และเหตุการณ์สุดท้าย เมื่อ 1 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันเสด็จดับขันธปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ณ ใต้ร่มสาลพฤกษ์ ในสาลวโนทยาน พระราชอุทยานของเจ้ามัลละ เมืองกุสินารา (อยู่ในเขตประเทศอินเดียในปัจจุบัน) โดยเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนเกิดตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 หรือเดือนวิสาขะนี้ทั้งสิ้น ชาวพุทธจึงนับถือว่าวันเพ็ญเดือน 6 นี้ เป็นวันที่รวมวันคล้ายวันเกิดเหตุการณ์สำคัญ ๆ ของพระพุทธเจ้าไว้มากที่สุด และได้นิยมประกอบพิธีบำเพ็ญบุญกุศลและประกอบพิธีพุทธบูชาต่าง ๆ เพื่อเป็นการถวายสักการะรำลึกถึงแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบมาจนปัจจุบัน
ความสำคัญวันอาสาฬหบูชา
วันอาสาฬหบูชา (บาลี: อาสาฬหปูชา; อักษรโรมัน: Āsāḷha Pūjā) เป็นวันสำคัญทางศาสนาพุทธนิกายเถรวาทและวันหยุดราชการในประเทศไทย คำว่า อาสาฬหบูชา ย่อมาจาก "อาสาฬหปูรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ" อันเป็นเดือนที่สี่ตามปฏิทินของประเทศอินเดีย ตรงกับวันเพ็ญ เดือน 8 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งมักจะตรงกับเดือนกรกฎาคมหรือเดือนสิงหาคม แต่ถ้าในปีใดมีเดือน 8 สองหน ก็ให้เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 8 หลังแทน
วันอาสาฬหบูชาได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 คือวันอาสาฬหปุรณมีดิถี หรือวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นกาสี อันเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาคือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแก่ปัญจวัคคีย์
การแสดงธรรมครั้งนั้นทำให้พราหมณ์โกณฑัญญะ 1 ในปัญจวัคคีย์ ประกอบด้วย โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ เกิดความเลื่อมใสในพระธรรมของพระพุทธเจ้า จนได้ดวงตาเห็นธรรมหรือบรรลุเป็นพระอริยบุคคลระดับโสดาบัน ท่านจึงขออุปสมบทในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา พระอัญญาโกณฑัญญะจึงกลายเป็นพระสาวกและภิกษุองค์แรกในโลก และทำให้ในวันนั้นมีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์เป็นครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้วันนี้ถูกเรียกว่า "วันพระธรรม" หรือ วันพระธรรมจักร อันได้แก่วันที่ล้อแห่งพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้หมุนไปเป็นครั้งแรก และ "วันพระสงฆ์" คือวันที่มีพระสงฆ์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และจัดว่าเป็น"วันพระรัตนตรัย" อีกด้วย
ความเป็นมาวันเข้าพรรษา
วันเข้าพรรษา (บาลี: วสฺส, สันสกฤต: วรฺษ, อังกฤษ: Vassa, เขมร: វស្សា, พม่า: ဝါဆို) เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนาวันหนึ่งที่พระสงฆ์เถรวาทจะอธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกำหนดระยะเวลา 3 เดือนตามที่พระวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น หรือภาษาปากว่า จำพรรษา ("พรรษา" แปลว่า ฤดูฝน, "จำ" แปลว่า พักอยู่) การเข้าพรรษานี้ถือเป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์โดยตรง พระสงฆ์จะไม่จำพรรษาไม่ได้ เนื่องจากรูปใดไม่จำพรรษาถือว่าต้องอาบัติทุกกฏตามพระวินัย การเข้าพรรษาตามปกติเริ่มนับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี (หรือเดือน 8 หลัง ถ้ามีเดือน 8 สองหน) และสิ้นสุดลงในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือวันออกพรรษา
วันเข้าพรรษา (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หรือปีอธิกมาส จะเลื่อนเป็นวันแรม 1 ค่ำเดือน 8 หลัง) หรือเทศกาลเข้าพรรษา (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือปีอธิกมาส จะเลื่อนเป็นวันแรม 1 ค่ำเดือน 8 หลัง ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11) ถือว่าเป็นวันและช่วงเทศกาลทางศาสนาพุทธที่สำคัญเทศกาลหนึ่งในประเทศไทย โดยมีระยะเวลาประมาณ 3 เดือนในช่วงฤดูฝน โดยวันเข้าพรรษาเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่ต่อเนื่องมาจากวันอาสาฬหบูชา (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8)
สาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตการจำพรรษาอยู่ ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่งตลอด 3 เดือนแก่พระสงฆ์นั้น มีเหตุผลเพื่อให้พระสงฆ์ได้หยุดพักการจาริกเพื่อเผยแพร่ศาสนาไปตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นไปด้วยความยากลำบากในช่วงฤดูฝน เพื่อป้องกันความเสียหายจากการอาจเดินเหยียบย่ำธัญพืชของชาวบ้านที่ปลูกลงแปลงในฤดูฝน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเวลาจำพรรษาตลอด 3 เดือนนั้น เป็นช่วงเวลาและโอกาสสำคัญในรอบปีที่พระสงฆ์จะได้มาอยู่จำพรรษารวมกันภายในอาวาสหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยจากพระสงฆ์ที่ทรงความรู้ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ด้วย
ความเป็นมาวันมหาปวารณา วันออกพรรษา
วันมหาปวารณา เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนา ตรงกับวันสุดท้ายของการอยู่จำพรรษา 3 เดือน คือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุทำการปวารณา คือ ยอมให้ว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกัน หมายถึงยอมมอบตนให้สงฆ์กล่าวตักเตือน ในข้อบกพร่องที่ภิกษุทั้งหลายได้เห็นได้ยิน หรือมีข้อสงสัย ด้วยจิตเมตตา เพื่อจักได้สำรวมระวังปรับปรุงแก้ไขตนเอง เพื่อความเจริญของพระธรรมวินัยและความผาสุกในการอยู่ร่วมกัน
วันที่พระสงฆ์ทำมหาปวารณานี้ เรียก "ตามที่เข้าใจกันทั่วไป" ว่า วันออกพรรษา
นิโครธสามเณร ผู้จุดให้พระเจ้าอโศกมหาราชหันมานับถือและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
ประมาณ ๓๐๐ ปีหลังพุทธปรินิพพาน มีสามเณรน้อยรูปหนึ่งนามว่า สามเณรนิโครธ อายุเพียง 7 ขวบ ได้ออกบวชและบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ สามเณรน้อยมีผิวพรรณผ่องใสและเป็นผู้ที่ฝึกตนเป็นอย่างดีจึงมีบุคลิกที่สงบเสงี่ยมสง่างามน่าเลื่อมใสยิ่งนัก ทำให้พระราชาคือ พระเจ้าอโศกมหาราชเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในทันทีที่เห็นสามเณรเดินผ่าน จึงนิมนต์ขอฟังธรรมสามเณรได้ให้โอวาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแก่พระเจ้าอโศกมหาราชว่า
"ความไม่ประมาทเป็นทางไม่ตาย ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย"
เมื่อได้ฟังธรรมแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชเกิดมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ทรงเปลี่ยนพระองค์ใหม่ เปลี่ยนจากผู้มีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) มาเป็นผู้มีความเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) เปลี่ยนจากนิสัยดุร้าย เป็นผู้ที่มีแต่ความเมตตา ทรงเปลี่ยนแว่นแคว้นของพระองค์ให้เป็นอาณาจักรแห่งธรรม ทำให้บ้านเมืองสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง ต่อมาได้ทรงเผยแผ่และปักหลักพระพุทธศาสนาให้เป็นปึกแผ่นมั่นคงในหลายดินแดนสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ราหุลสามเณร สามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา
สามเณรราหุล เป็นโอรส (ลูกชาย) ของพระนางยโสธรากับเจ้าชายสิทธัตถะก่อนที่พระองค์จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ออกบวชเมื่ออายุ 7 ขวบ และเป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เมื่ออายุได้ 20 ปี สาเหตุที่ท่านบวชเพราะทรงตรัสขอพระราชสมบัติจากพระราชบิดา แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นว่าสมบัติที่ประเสริฐที่สุดที่ควรให่แก่ลูก คืออริยทรัพย์ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ประเสริฐยิ่งกว่าโลกียทรัพย์ หรือทรัพย์สินเงินทอง จึงทรงตรัสให้ราหุลออกบวช เมื่อบวชแล้วสามเณรก็เป็นผู้ว่าง่ายอยู่ง่ายไม่ถือตนว่าเป็นโอรสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและมีความเคารพในพระสงฆ์เป็นอย่างยิ่ง
สามเณรราหุลมีนิสัยรักในการใฝ่ศึกษาเป็นอย่างมาก ท่านได้กอบทรายเต็มกำมือแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า...
"ขอให้ได้ฟังคำแนะนำสั่งสอนจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอุปัชฌาย์ให้ได้มากเท่ากับเม็ดทรายในกำมือ"
ด้วยเหตุนี้เอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงยกย่องพระราหุลว่าเป็นเอตทัคคะ (ผู้ประเสริฐสุด) ในทางด้านผู้คงแก่เรียนใฝ่ศึกษา
กุมารกัสสปสามเณร ผู้มีผิวพรรณดุจทองคำ
กุมารกัสสปะ เป็นชื่อที่พระเจ้าปเสนทิโกศลที่ทรงรับอุปการะเลี้ยงดูตั้งให้ เพราะมารดาของท่านได้มีศรัทธาออกบวชหลังจากแต่งงานแล้ว และไม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์(ท้อง) ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตัดสินเรื่องนี้ว่าไม่ผิดศีลเพราะได้ตั้งครรภ์ก่อนบวช
กุมารกัสสปะคลอดออกมามีหน้าตาน่ารักและมีผิวพรรณดุจทองคำด้วยบุญบารมีที่สั่งสมมาดีแล้วหลายภพหลายชาติ พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเลี้ยงดูจนเจริญวัย ต่อมาได้ขอบวชเป็นสามเณรในสำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และตั้งใจบำเพ็ญเพียรภาวนาเรื่อยมา จนกระทั่งวันหนึ่งผู้เป็นเพื่อนในอดีตชาติของท่าน ซึ่งได้ไปบังเกิดเป็นพรหมในชั้นสุทธาวาสได้ลงมาหาและผูกปัญหา 15 ข้อให้แก้ แล้วบอกว่าให้ไปถามปัญหาเหล่านี้ต่อพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อกุมารกัสสปะสามเณรได้ฟังการแก้ปัญหา 15 ข้อ จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิดดวงตาเห็นธรรมบรรลุเป็นพระอรหันต์ในเวลานั้นเอง ต่อมาพระกุมารกัสสปะได้รับการยกย่องว่าเป็นเลิศด้านการกล่าวถ้อยคำอันวิจิตรไพเราะสมบูรณ์ด้วยเหตุและผล ท่านเป็นกำลังสำคัญรูปหนึ่งในการประกาศพระศาสนา
ทัพพะสามเณร ได้รับยกย่องทางจัดเสนาสนะ
สามเณรทัพพะ บวชและได้บรรลุอรหัตผลตั้งแต่อายุ 7 ขวบ เป็นสามเณรรูปแรกที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์และเป็นภิกษุรูปแรกที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบวชและยกให้ท่านเป็นภิกษุทั้งที่อายุไม่ครบ 20 ปี เพราะทรงเห็นว่ามีความสามารถไม่แพ้ผู้ใหญ่ มีความชำนาญเป็นพิเศษในการจัดที่อยู่ถวายพระ จนพระพุทธเจ้าทรงยกย่องท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะด้านจัดเสนาสนะ
ด้วยอานุภาพของพระอรหันต์ สามเณรน้อยทัพพะสามารถทำนิ้วมือของตัวเองให้มีแสงดุจดั่งแท่งเทียนส่องสว่างในเวลาค่ำคืนเพื่อนำทางแก่พระอาคันตุกะไปสู่ที่พักได้สะดวก
สามเณรทัพพะเป็นเชื้อสายกษัตริย์ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้ามัลลราช แห่งแคว้นมัลละ สาเหตุที่ออกบวชเพราะได้ทอดพระเนตรเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเกิดศรัทธาเลื่อมใสจึงได้กราบทูลขอบวชในพระพุทธศาสนา
จุนทะสามเณร ผู้มีส่วนริเริ่มสังคายนา
จุนทะเป็นน้องชาย 1 ใน 7 ของพระสารีบุตรผู้เป็นอัครสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ออกบวชเป็นสามเณรในสำนักพระสารีบุตร ผู้เป็นพี่ชายโดยมีพระอานนท์เป็นพระอุปัชฌาย์ (พระผู้บวชให้)
เมื่อบวชแล้วก็บำเพ็ญเพียรเจริญวิปัสสนา ไม่นานนักก็บรรลุธรรมเป็นอรหันต์ตอนอายุ 7 ขวบพร้อมคุณวิเศษ มักอาสาแสดงปาฏิหาริย์แทนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ประวัติสำคัญของจุนทะสามเณร เช่น
ได้เป็นพุทธอุปัฏฐาก คือผู้ปรนนิบัติรับใช้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงโปรดให้พระอานนท์เป็นพุทธอุปัฏฐากประจำแล้ว ในบางคราวก็ทรงโปรดให้พระจุนทะถวายการรับใช้ เช่น เมื่อครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขารแล้ว (กำหนดวันตายไว้ล่วงหน้า) เสด็จไปที่เมืองกุสินารา ระหว่างทางผ่านแม่น้ำกกุธานที ทรงโปรดให้พระจุนทะปูผ้าให้เอนกายบรรทม (หลับ) ณ ริมแม่น้ำนั้น
เป็นผู้มีส่วนเริ่มสังคายนาในพระพุทธศาสนา เนื่องจากจุนทะสามเณรได้เล่าเรื่องความแตกแยกที่เกิดในลัทธิอื่นให้แก่พระอานนท์ และพระสารีบุตรฟัง จึงเกิดความคิดให้มีการรวบรวมพระพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เป็นหมวดหมู่ขึ้นเรียกว่า "สังคายนา" เพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ต่อไปได้ยาวนาน
สังกิจจสามเณร สามเณรใจเพชร ผู้ทำให้คนทั้ง 500 คน กลับใจ
สามเณรสังกิจจะ บวชในสำนักของพระสารีบุตรเถระ ท่านบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ด้วยวัย 7 ขวบ ในขณะปลงผมบวช ท่านเพียงรูปเดียวเป็นที่พึ่งแก่พระภิกษุ 30 รูป ในป่าให้รอดพ้นความตายจากโจรป่า และยังสร้างศรัทธาให้กับโจร 500 ได้บวชในพระพุทธศาสนา
เนื่องจากพวกโจร 500 ไม่สามารถใช้ดาบฟันคอสามเณรได้ เกิดปาฏิหาริย์ดาบงอพับ ทำให้หมู่โจรเกิดความเลื่อมใสขอบวชกับสามเณร ในที่สุดหมู่โจรได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เมื่อได้มาฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สานุสามเณร ผู้ถูกยักษิณีเข้าสิง
สานุสามเณร แม้จะยังเยาว์ก็สามารถแสดงธรรมเทศนาได้แกล้วกล้าและไพเราะเกินตัว เทศนาทุกครั้งจะมี เทวดา ยักษ์ และอมนุษย์มาฟังด้วยเสมอ ท่านจึงเป็นที่เคารพของอมนุษย์และเทวดาจำนวนมาก ได้มียักษิณี (คือยักษ์ผู้หญิง) ตนหนึ่งซึ่งเคยเป็นมารดาในอดีตชาติของสามเณรมาฟังธรรมเทศนาของสามเณรอยู่เป็นประจำ
ต่อมาวันหนึ่งสามเณรสานุเติบใหญ่ คิดจะลาสิกขา (สึก) ออกไปใช้ชีวิตฆราวาส ทำให้นางยักษิณีตนนั้นขัดขวางไม่ให้สึก เข้าสิงร่างสามเณรสานุ ทำให้สามเณรล้มทั้งยืนตาเหลือกน้ำลายฟูมปาก ดิ้นไปดิ้นมา แล้วกล่าวว่า
"ยักษ์จะไม่มารังแกผู้รักษาศีลประพฤติพรหมจรรย์ หากสามเณรรู้สึกตัวเมื่อไร ขอเณรอย่าได้ทำบาปในที่ลับหรือที่แจ้งและอย่าคิดสึกเด็ดขาด หากคิดจะทำหรือกำลังทำก็ตาม แม้นเหาะได้ดังนกก็มิอาจหนีพ้นจากทุกข์ได้เลย"
เมื่อกล่าวจบก็ออกจากร่างสามเณรไป ส่วนโยมมารดาของสามเณรสานุผู้เป็นมนุษย์ก็พูดให้สติว่า การคิดสึกออกจากเพศพรหมจรรย์ก็เปรียบเหมือนกับอยากจะตกลงไปในกองเถ้าที่ร้อนอีก สามเณรสานุคิดได้และรู้สึกสลดใจสังเวชใจ จึงขอบวชตลอดชีวิต
ต่อมาพระภิกษุสานุได้ฟังธรรมจากพระบรมศาสดาทำให้ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ท่านได้เป็นกำลังสำคัญยิ่งของกองทัพธรรม เป็นพระธรรมกถึกผู้เชี่ยวชาญเทศนาธรรม มีชื่อเสียงเลื่องลือกระฉ่อน ตราบจนกระทั่งปรินิพานเมื่ออายุได้ 120 ปี
วนวาสีติสสะสามเณร ผู้มีฤทธิ์จากผลทานในอดีต
สตรีผู้แพ้ท้องด้วยอาการอยาก อยากเห็นพระ500รูปโดยมีพระสารีบุตรเป็นประธาน อยากห่มจีวรพระ อยากกินข้าวก้นบาตรพระ ทำเช่นนี้ทุกวันจนกระทั้งคลอดบุตร บุตรที่อยู่ในครรภ์ของนาง ต้องมีบุญมาก
ในทันทีที่เด็กน้อยคนนี้เกิดก็ระลึกชาติได้ว่า สมบัติมากมายนี้เกิดเพราะบุญที่เราได้ถวายไว้กับพระสารีบุตร อย่ากระนั้นเลยเราจักถวายผ้ากัมพล มีราคาหนึ่งแสน อันรองรับเราอยู่นี้แด่พระเถระ จึงใช้นิ้วรัดผ้านั้นไว้ และปล่อยลงตรงเท้าของพระเถระ พระเถระรับไว้ แล้วตั้งชื่อให้ว่า ติสสะ
ติสสะถวายทานวันละ500 ทุกวัน จนเมื่ออายุได้ 7 ขวบ ก็บอกมารดาว่า “แม่จ๋า ฉันอยากบวชในสำนักพระสารีบุตร” มารดาดีใจมากจึงพาไปบวช ชาวเมืองก็จัดแจงเตรียมผ้าสาฏกเนื้อดี 500 ผืน และอาหารอย่างดีประมาณ 500 ถวายเป็นเวลา 2 วัน ภิกษุทั้งหลายจึงขนานนามสามเณรว่า ปิณฑปาตทายกติสสะ
วันหนึ่งในฤดูหนาว สามเณรจาริกไปยังวิหาร เห็นภิกษุอันมากกำลังผิงไฟ เพื่อดับความหนาว จึงประกาศว่า “ธรรมดาในฤดูหนาว ท่านควรห่มผ้ากัมพล กระผมจะรับเป็นธุระหามาให้เอง” สามเณรจึงเดินทางไปยังพระนครพร้อมด้วยภิกษุ 1000 รูป ชาวตลาดเห็นสามเณรก็เกิดความรักดุจลูกของตน จึงถวายผ้ากัมพลเนื้อดี รวมได้ 500 ผืน เมื่อถึงพระนคร ทันทีที่ชาวตลาดได้เห็นสามเณร ก็เกิดความรักดุจลูกของตน จึงถวายผ้ากัมพลเนื้อดีนับได้ 500 ผืน ภายในวันเดียวสามเณรรวบรวมผ้ากัมพลมาถวายได้ครบ 1000 ผืน ภิกษุจึงขนานนามสามเณรว่า กัมพลทายกติสสะ
ต่อมาสามเณรปรารถนาที่จะทำพระนิพพานให้แจ้ง จึงทูลลาพระศาสดาปฏิบัติธรรมในป่า โดยระหว่างนั้น ใครที่พบเห็นท่าน ก็จะรักท่านดุจลูกของตน และถวายของอันเลิศมิได้ขาด และเป็นที่มาแห่งชื่อ วนวาสีติสสะ และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์สมปรารถนา เหตุอันเป็นที่รักของชนทั้งหลาย ได้ภัตตาหาร และผ้ากัมพลเนื้อดีมากมายนั้น เกิดเพราะเมื่อชาติก่อนได้ถวายทานแด่พระสารีบุตร ด้วยความปลื้ม และศรัทธาสุดหัวใจ ถวายแล้ว ถวายอีก
โสปากสามเณร ผู้เกิดในป่าช้า บรรลุอรหันต์ในป่าช้า
สามเณรน้อยชื่อ โสปากะ แปลว่า "ผู้เกิดในป่าช้า" เพราะท่านเกิดในป่าช้า เรื่องมีอยู่ว่า...สามเณรรอดตายราวปาฏิหาริย์ขณะอยู่ในครรภ์มารดาซึ่งกำลังถูกเผาบนเชิงตะกอนในป่าช้าแห่งหนึ่ง เพราะชาวบ้านเข้าใจผิดว่ามารดาตายแล้ว แต่บุญบารมีที่ท่านจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์จึงมีฝนตกลงมาดับไฟที่กำลังเผาร่างนั้น สามเณรได้หลุดออกจากครรภ์มารดาและถูกนำไปเลี้ยงดูในป่าช้าแห่งนั้น เด็กชายโสปากะเติบโตในป่าช้าจนอายุได้ 7 ขวบ จึงได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงมาโปรดในป่าช้า ทำให้เด็กน้อยเกิดความเลื่อมใสในทันที จึงขอออกบวชและได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในเวลานั้นเอง
ต่อมา...สามเณรโสปากะได้รับอนุญาตให้บวชเป็นพระจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในขณะอายุเพียง 7 ขวบ การบวชกระทำโดยตอบปัญหา 10 ข้อ สามเณรสามารถตอบปัญหาเหล่านั้นได้อย่างฉาดฉานและถูกต้อง จนได้รับคำสรรเสริญจากพระพุทธองค์
เรวตะสามเณร เอตทัคคะทางผู้อยู่ป่า
สามเณรเรวตะ เป็นน้องชายของพระสารีบุตรผู้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้หนีการแต่งงานไปออกบวชในป่าตอนอายุ 7 ขวบ และอาศัยอยู่ในป่าไม้ตะเคียนเพื่อประพฤติปฏิบัติธรรม ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในป่าไม้ตะเคียนนั้น
เมื่อบวชเป็นพระแล้ว ท่านมีชื่อว่า พระเรวตขทิรานิยะ (คำว่า ขทิรวนิยะ แปลว่า ไม้ตะเคียน)
พระเรวตเถระอยู่ในป่าไม้ตะเคียนเป็นเวลานาน ท่านได้รับยกย่องจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในตำแหน่งเอตทัคคะผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางผู้อยู่ป่า ท่านสามารถแสดงฤทธิ์เนรมิตป่าตะเคียนให้กลายเป็นอารามงดงามกว้างขวางเพื่อต้อนรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสารีบุตร และหมู่สาวกพระภิกษุสงฆ์
สีวลีสามเณร เอตทัคคะในทางผู้มีลาภมาก
สามเณรสีวลีเจริญด้วยลาภสักการะ เพราะในอดีตชาติได้ถวายน้ำผึ้งสดแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า พระวิปัสสีและหมู่สงฆ์ ด้วยผลบุญที่ได้ถวายทานแก่บุคคลผู้มีจิตบริสุทธิ์ผุดผ่องด้วยความเคารพเลื่อมใส ส่งผลให้สามเณรสีวลีเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ไม่ว่าจะไปอยู่ในแห่งหนตำบลใด ในป่า ในบ้าน ในน้ำ หรือบนบก ก็จะมีทั้งมนุษย์และเทวดานำลาภสักการะมาถวายมิได้ขาดตกบกพร่อง
คราวใดที่หมู่สงฆ์จะต้องผ่านไปยังถิ่นกันดาร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงมักจะมีพระดำรัส(สั่ง) ให้พาสามเณรสีวลีไปด้วยเสมอ เพราะจะช่วยให้พระภิกษุทั้งหลายไม่ขัดสนเรื่องข้าวปลาอาหารและปัจจัยสี่
พระสีวลีกุมารเป็นโอรสของพระนางสุปปวาสา พระราชธิดา (ลูกสาว) ของพระเจ้ากรุงโกลิยะ อยู่ในครรภ์มารดายาวนาน 7 ปี 7 เดือน 7 วัน เพราะเคยทำบาปกรรมในชาติหนึ่งที่ไปล้อมเมืองศัตรูเป็นเวลา 7 ปี 7 เดือน 7 วัน ทำให้คนจำนวนมากเดือดร้อน อย่างไรก็ตามด้วยอำนาจแห่งบุญที่สีวลีกุมารได้เคยถวายน้ำผึ้งสดไว้ ก็ส่งผลทำให้มีผู้นำเครื่องสักการะมาถวายพระมารดาขณะตั้งครรภ์ทุกเช้าเย็นมิได้ขาด
สามเณรสีวลีได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ขณะบรรพชาในช่วงที่จรดใบมีดปลงผมเสร็จพอดี
สุขสามเณร ผู้ฝึกตนอย่างยิ่งยวด
ณ กรุงสาวัตถี ภรรยาเศรษฐีตระกูลหนึ่งได้ตั้งครรภ์ ตั้งแต่วันปฏิสนธิ ทุกคนในเรือนรวมทั้งบ่าวไพร่ มิเคยได้รับความทุกข์อันใดเลย ในวันที่คลอด พระสารีบุตรจึงตั้งชื่อให้ทารกว่า สุขกุมาร เมื่อสุขกุมารมีอายุได้ 7 ขวบ ก็ได้ออกบวชเป็นสามเณร ในสำนักของพระสารีบุตร สามเณรตั้งใจฝึกฝนตนเป็นอย่างดี
วันแรกที่ออกบิณฑบาต พระสารีบุตร ได้พาสามเณรออกบิณฑบาตด้วย ในระหว่างทาง สามเณรได้สังเกตเห็นคนกำลังไขน้ำเข้านา สอบถามพระสารีบุตรแล้ว จึงคิดได้ว่า "น้ำไม่มีจิต แต่คนทั้งหลายก็ไขน้ำไปทำประโยชน์ได้ คนเรามีจิต ก็ย่อมฝึกฝนให้ดีได้” เดินไปสักพัก สามเณรก็ได้เห็นช่างศรกำลังดัดลูกศรให้ตรง สอบถามพระสารีบุตรแล้ว จึงคิดได้ว่า “ลูกศรไม่มีจิต แต่คนเหล่านี้ก็สามารถดัดลูกศรได้ดังใจปรารถนา คนเรามีจิต ก็ย่อมฝึกฝนให้ดีได้” เดินไปสักพัก สามเณรก็ได้เห็นช่างถาก กำลังถากไม้ทำล้อเกวียน สอบถามพระสารีบุตรแล้ว จึงคิดได้ว่า “ไม้ไม่มีจิต แต่คนเราก็สามารถนำมาทำประโยชน์ได้ คนเรามีจิต ก็ย่อมฝึกฝนให้ดีได้”
สามเณรเกิดอยากปฏิบัติธรรมขึ้นมาทันใด จึงขอลาพระสารีบุตรกลับสู่วิหาร ด้วยอานุภาพของสามเณร จึงร้อนถึงท้าวสักกะ ต้องให้ท้าวมหาราชทั้ง 4 ไปไล่นกและสัตว์ป่าที่จะส่งเสียงดังออกจากบริเวณนั้น สั่งให้สุริยเทพบุตรและจันทรเทพบุตรรั้งการโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ไว้ชั่วครู่ เพราะสามเณรยังไม่ได้ฉันภัตตาหาร แล้วท้าวสักกะก็คอยอารักขาสามเณรที่ประตู
เมื่อพระสารีบุตรเถระกลับมา จึงรีบนำภัตตาหารจำนวนหนึ่ง ใน 100 ชนิดที่สามเณรต้องการไปให้สามเณร ก็พบพระศาสดาประทับยืนรอที่หน้าประตูพระวิหาร เพื่อตรัสถามปัญหา 4ข้อ เพราะทรงทราบด้วยญาณทัศนะว่า สุขสามเณรกำลังจะบรรลุธรรม เมื่อพระศาสดาทรงทราบว่า บัดนี้สุขสามเณรบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว จึงทรงอนุญาตให้พระสารีบุตรนำภัตตาหารไปให้แก่สามเณรได้
บัณฑิตสามเณร ผู้บรรลุอรหันต์จากการฟังธรรมเพียง 4 ข้อ
บัณฑิตสามเณรบวชตอนอายุได้ 7 ขวบ สามารถสำเร็จอรหันต์ในวันที่ ๘8 ของการบวช มารดาตั้งชื่อว่า "บัณฑิต" เหตุเพราะเมื่อสามเณรได้มาปฏิสนธิในครรภ์มารดา ก็ปรากฏว่าคนในบ้านเรือนมีแต่ความฉลาดปราดเปรื่องมากขึ้น
"เวลาที่ผู้มีบุญบำเพ็ญสมณธรรมจะมีเทพยดาคุ้มครองป้องกัน แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองก็ยังเสด็จไปช่วยอารักขา" ดังเช่นกรณีของสามเณรบัณฑิต
ในวันที่สามเณรน้อยตั้งใจบำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรม อาสน์ (ที่นั่งประทับ) ของท้าวสักกะเทวราช เทวดาผู้ปกครองสวรรค์ชั้นที่สองคือชั้นดาวดึงส์เกิดอาการร้อนขึ้นมา พระองค์จึงได้ลงมาอารักขาที่ประตูหน้ากุฏิ ท้าวมหาราชทั้งสี่ทิศ (เทวดาผู้ปกครองสวรรค์ชั้นแรก ชั้นจาตุมหาราชิกา) ได้ห้ามพระอาทิตย์และพระจันทร์ไม่ให้หมุน และไล่เสียงนกกาโดยรอบไม่ให้รบกวนแก่สามเณร องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทรงทราบเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยพระญาณ ก็ทรงไปอารักขาที่ซุ้มประตูวัด เพื่อเหนี่ยวรั้งการเข้าไปของพระสารีบุตรด้วยการตรัสถามปัญหา 4 ข้อ เพื่อให้สามเณรได้บำเพ็ญเพียรสำเร็จเป็นพระอรหันต์ก่อน
สาเหตุที่สามเณรตั้งใจปฏิบัติธรรมจนบรรจุอรหันต์ได้สำเร็จเพราะเห็นเหตุการณ์ 3 อย่าง คือ
1. เห็นคนชักน้ำ จึงคิดว่า เมื่อคนสามารถชักน้ำซึ่งไม่มีจิตใจไปสู่ที่ที่ตนเองต้องการได้ แต่เหตุใดจึงไม่สามารถบังคับใจให้อยู่ในอำนาจได้
2. เห็นคนกำลังถากไม้ทำเกวียนอยู่ จึงคิดว่า คนสามารถนำเอาท่อนไม้ที่ไม่มีจิตใจมาทำเป็นล้อได้ แต่ทำไมไม่สามารถบังคับใจได้
3. เห็นคนกำลังใช้ไฟลนลูกศรเพื่อจะดัดให้ตรง จึงคิดว่า คนสามารถดัดลูกศรให้ตรงได้ แต่เหตุใดไม่สามารถบังคับใจให้อยู่ในอำนาจได้
สุมนสามเณร ผู้ปราบพญานาค
สุมนสามเณร บวชเป็นสามเณร เพื่อคอยอุปัฏฐากพระอนุรุทธเถระสาวกพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เลิศทางด้านทิพยจักษุญาณ(ตาทิพย์)
สุมนสามเณรมีบุญ ได้สั่งสมบุญเก่ามาดีข้ามภพข้ามชาติ เพราะฉะนั้นเวลาบวชเพียงใบมีดโกนจรดปลายเส้นผม ก็สามารถพิจารณาเห็นแจ้งถึงความไม่เที่ยงของสังขารแล้วบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน พอโกนผมเสร็จทั้งศีรษะก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ทันที
วันหนึ่งสุมนสามเณร ต้องการนำน้ำจากสระอโนดาต มาถวายการรักษาอาการปวดท้องของพระอนุรุทธเถระ แต่พญานาคนามว่า ปันนกนาคราชแห่งสระอโนดาตเกิดความโกรธ แผ่พังพานกั้นขวางไว้ ท่านสุมนสามเณรจึงแสดงฤทธิ์เพื่อให้ปันนกนาคราช มีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัย โดยเหาะขึ้นไปบนอากาศแล้วเนรมิตกายสูง ๑๒ โยชน์ เหยียบพังพานของพญานาค ทันทีที่เหยียบลงไปบนพังพานของพญานาค พังพานก็หดเหลือขนาดเล็กเท่าทัพพี แล้วน้ำในสระอโนดาตพุ่งขึ้นมาให้สามเณรรองใส่ภาชนะที่นำมาจนเต็ม หมู่ทวยเทพต่างแซ่ซ้องสาธุการกันไปทั่วบริเวณ ในที่สุดสามเณรก็สามารถนำน้ำไปถวายพระเถระได้สำเร็จ เมื่อท่านอนุรุทธเถระฉันน้ำนั้นแล้ว จึงหายจากอาการปวดท้องทันที
เรื่องเล่ากฏแห่งกรรม 3D Animation ตอนที่ 9 คาถาพระเครื่อง
พระเครื่องโบราณที่ถูกค้นพบด้วยมนต์คาถาเพียงบทเดียว การครอบครองพระเครื่องของขลัง จะช่วยให้ชีวิตปลอดภัยแคล้วคลาดได้ จริงหรือไม่?
ในแบบฉบับ animation ที่จะเปิดเผยเรื่องจริงว่า...
คาถาค้นหาพระเครื่องของขลังเป็นอย่างไร และถึงแม้จะมีมือปืนลอบสังหารแต่ไม่สามารถทำอันตรายได้เป็นเพราะสาเหตุใด...
ติตติรชาดก ชาดกว่าด้วยความเคารพอ่อนน้อม
นิทานชาดกเรื่อง สามสหาย ช้าง ลิง นกกระทา
:: สาเหตุที่ตรัสชาดก ::
.....เมื่ออนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างเชตวันมหาวิหารแล้ว ได้ส่งคนไปกราบทูลเชิญ พระพุทธองค์จึงเสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ ในระหว่างทางได้ประทับแรม ณ นครไพสาลี
.....พระฉัพพัคคีย์ ได้ให้ศิษย์เดินทางล่วงหน้าเพื่อจับจองเสนาสนะ เมื่อพระภิกษุทั้งหลายรวมทั้งพระสารีบุตรเดินทางมาถึงจึงไม่มีที่พัก ท่านได้ไปอาศัยโคนไม้ต้นหนึ่งเป็นที่นั่งเจริญภาวนา
.....เช้ามืดวันรุ่งขึ้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกมาพบจึงเกิดธรรมสังเวชว่า “ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ ภิกษุทั้งหลายยังไม่มีความเคารพยำเกรงกัน ถ้าหากเราปรินิพพานไปแล้ว ภิกษุทั้งหลายจะเป็นอย่างไร”
.....ครั้นรุ่งเช้าจึงรับสั่งให้ประชุมสงฆ์ เมื่อทรงสอบถามถึงเหตุดังกล่าวแล้ว ทรงติเตียนพระภิกษุฉัพพัคคีย์นั้น แล้วทรงถามขึ้นในที่ประชุมสงฆ์ว่า “ภิกษุประเภทใดควรได้รับเสนาสนะอันประเสริฐ”
.....พระภิกษุทั้งหลายต่างกราบทูลแตกต่างกันไป เช่น ให้ผู้ที่บวชจากตระกูลสูงก่อนบ้าง บางรูปให้พิจารณาจากระดับธรรมที่ได้ คือ พิจารณาจากพระอรหันต์ลงมาบ้าง เป็นต้น
.....พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ไม่ควรนำมาเป็นเครื่องพิจารณา พระผู้ใหญ่ผู้เจริญด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิต่างหากเล่า จึงจะเป็นผู้ที่สมควรได้รับของอันเลิศ ควรได้รับการกราบไหว้”
.....พระบรมศาสดาทรงมีพระประสงค์จะประทานโอวาทแก่พระภิกษุเหล่านั้น จึงทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณแล้วทรงนำ ติตติรชาดก มาแสดงดังนี้้
:: ข้อคิดจากชาดก ::
.....๑. บุคคลที่จัดว่าเป็นผู้ใหญ่ ควรแก่การเคารพกราบไหว้
.....๒. วิธีแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่ เช่น ไหว้ กราบ แสดงกิริยาอ่อนน้อมให้เกียรติ ฯลฯ
.....๓. สิ่งที่ผู้น้อยได้รับจากการปฏิบัติต่อผู้ใหญ่ด้วยความเคารพ ได้แก่ ได้รับการถ่ายทอด วิชาความรู้, ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง
.....๔. ความเคารพ อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นบ่อเกิดของความสุข
อภิณหชาดก ชาดกว่าด้วยการติดเพื่อน
การมีเพื่อนเป็นสิ่งดี แต่การติดเพื่อนจะให้โทษ เพราะก่อให้เกิดทุกข์ 2 ประการคือ 1. ทุกข์เพราะความคิดถึง 2. ทุกข์เพราะเสียการงาน
แม้กระทั่งในครอบครัวก็เช่นกัน สามีภรรยาที่ติดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากจนเกินไป พ่อแม่ที่ติดลูกจนทะนุถนอมและห่วงใยดังไข่ในหินก็ไม่ปาน ย่อมไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ฝ่ายใดเลย เพราะนอกจากจะสร้างความทุกข์กังวลใจให้ต้องทรมานซึ่งกันและกันเมื่อพรากจากแล้ว ยังทำให้ต่างฝ่ายไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ เป็นการถ่วงความเจริญก้าวหน้าของกันและกันอีกด้วย ดังนั้น ใครที่กำลังรักใคร่ในบุคคลใดก็ตาม พึงเตือนตนให้รักแต่พอประมาณ ส่วนใครที่ไม่ได้รักใคร่ผู้ใด ก็อย่าได้ขวนขวยให้วุ่นวายใจ ให้คิดเสมอว่า “มากรักก็มากน้ำตา ไม่มีรักก็ไร้น้ำตา”
เรื่องเล่ากฏแห่งกรรม 3D Animation ตอนที่ 8 ตายอย่างไรไปดี
จิตหมองหรือใส รหัสผ่านเดินทางสู่ปรโลก ทุกการกระทำของคนเราไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจา ทางใจ ล้วนมีผลต่อความคิด คำพูด และการกระทำทั้งสิ้น เพราะการกระทำนั้นจะถูกเก็บบันทึกไว้ด้วยเครื่องบันทึกภาพที่ดีที่สุดในโลก มีความจุที่ไม่มีประมาณ คือ ใจของเรานั่นเอง
ในแบบฉบับ animation ที่จะเปิดเผยเรื่องจริงว่า... ตายอย่างไรไปดี วิธีการตายที่เราควรทำความรู้ ความเข้าใจให้ดี เพื่อที่เราจะได้เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม เพราะว่าทุกคนล้วนต้องตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น
เรื่องเล่ากฏแห่งกรรม 3D Animation ตอนที่ 7 กรรมที่เกิดเป็นเสือ
เคยสงสัยไหม ว่าทำไมบางคนอายุสั้นเพราะประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต
ในแบบฉบับ animation ที่จะเปิดเผยเรื่องจริงว่า... สาเหตุที่ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต เกิดจากวิบากกรรมอะไร?
เรื่องเล่ากฏแห่งกรรม 3D Animation ตอนที่ 6 ผีพรายทะเล
นทะเลอันเวิ้งว้างที่มืดมิด เรือขนสินค้ากำลังมุ่งหน้าสู่เกาะแห่งหนึ่งทางภาคใต้ วั้นนั้นฟ้าฝนไม่เป็นใจ เกิดพายุร้ายจมเรือสู่ก้นมหาสมุทร 3 ชีวิตจำเป็นต้องลอยคออยู่กลางทะเลอย่างสิ้นหวัง จู่ๆ ก็มีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้น เสียงๆ นี้คือจุดเปลี่ยนของเรื่องราวทั้งหมด เสียงๆ นี้ช่วยชุบชูใจให้รอดชีวิตกลับเข้าสู่ฝั่งได้ แต่ว่าเสียงๆ นี้ คือเสียงของใครกัน?
ในแบบฉบับ 3D ที่จะเปิดเผยเรื่องจริงว่า... ผีพรายทะเล คือใคร .... ทำวิบากกรรมอะไรทำให้ต้องไปลอยคออยู่กลางทะเล บุญอะไรที่ทำให้รอดชีวิตจากเรือล่มในครั้งนี้ได้
เรื่องเล่ากฏแห่งกรรม 3D Animation ตอนที่ 5 ต่อยกับผี
ชีวิตหลังความตายต้องอาศัยบุญ เพื่อให้ได้สภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ทว่าไม่สามารถสร้างบุญเองได้ จึงได้แต่ขอให้คนอุทิศบุญให้ แล้วเมื่อถูกปฏิเสธด้วยความโมโหจึงชกต่อยกัน
เรื่องราวกฎแห่งกรรม ในแบบฉบับ 3D ที่จะเปิดเผยเรื่องจริง ว่าผีต่อยกับคนได้อย่างไร ผีสามารถทำให้คนตายได้หรือไม่ และความคิดที่ว่าทำบุญตั้งเยอะ ทำไมบุญไม่ช่วยเลยซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง เพราะจริงๆแล้วบุญที่ทำไม่ได้สูญหายไปไหน บุญคอยหนุนอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา
เรื่องเล่ากฏแห่งกรรม 3D Animation ตอนที่ 4 หว่านเสน่ห์จนถูกเสน่ห์
เมื่อชีวิตต้องมาพบเจอกับเรื่องราวของเสน่ห์มนต์ดำ ทำให้ต้องเจอกับความรู้สึกที่อึดอัดโดยไม่ทราบสาเหตุ ต้องเจ็บที่หลังและหนักที่บ่าเป็นอย่างมาก
เรื่องราวกฎแห่งกรรม ในแบบฉบับ 3D ที่จะเปิดเผยเรื่องจริง ว่าทำไมชีวิตถึงต้องมาเจอกับเสน่ห์มนต์ดำ และจะแก้ไขอย่างไร...โปรดติดตาม
เรื่องเล่ากฏแห่งกรรม 3D Animation ตอนที่ 3 จองเวรข้ามชาติ
เมื่อความรักกลายเป็นอื่น เธอจึงตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองถึง 2 ครั้ง ก็เพราะรักมากจึงแค้นมาก ก่อนตายเธอได้เขียนจดหมาย ตามอาฆาตจองเวรชายคนรักไป ทุกภพทุกชาติ
เรื่องเล่าจากกฏแห่งกรรม ในแบบฉบับ 3D จะมาตีแผ่เรื่องจริงของหญิงผู้อาภัพ ในความรัก เพราะวิบากกรรมใด ชีวิตของเธอจึงลงเอยเช่นนี้ และจะแก้ไขได้อย่างไร…โปรดติดตาม
เรื่องเล่ากฏแห่งกรรม 3D Animation ตอนที่ 2 บ้านนี้เจ้าที่แรง
ลูกสาวคนโตถูกรถชน ญาติทักว่าก็เพราะ "บ้านนี้เจ้าที่แรง" ต่อมาลูกสาวคนเล็กแขวนคอฆ่าตัวตาย ครั้งนี้พระท่านทักว่า ก็เพราะมี "วิญญาณร้าย" ที่คอยจ้องอยู่ในบ้าน ชวนให้รู้สึกอยากทำร้ายตัวเอง เพราะอะไรเรื่องราวร้ายๆ จึงเกิดขึ้นกับสมาชิกในครอบครัวไม่หยุดหย่อน?
ทีมงาน Law of Karma ขออนุโมทนาบุญกับท่านเจ้าของเรื่องราวที่นำชีวิตของท่านมาตีเผย
เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจให้แด่ผู้ชมทุกท่านได้ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง
ตามหลักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง https://www.dmc.tv/pages/casestudy/25...
เรื่องเล่ากฏแห่งกรรม 3D Animation ตอน ผู้หญิง 3 หน้า
เธอต้องป่วยเป็นโรคประหลาดซึ่งทำให้ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปถึง 3 ครั้ง ต้นตอวิบากกรรมเกิดจากอะไร? จะแก้ไขวิบากกรรมครั้งนี้ได้อย่างไร?
เรื่องเล่ากฏแห่งกรรม ทุกตอนสร้างจากเรื่องจริง II ทีมงาน Law of Karma ขออนุโมทนาบุญกับท่านเจ้าของเรื่องราวที่นำชีวิตของท่านมาตีเผย เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจให้แด่ผู้ชมทุกท่านได้ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง ตามหลักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ชีวิตหลังความตายของนักสร้างบารมี
เราทุกคนล้วนมีระเบิดเวลา ติดตัวกันมาทั้งนั้น พอถึงเวลามันก็ระเบิดขึ้นมา โดยที่ไม่มีใครคาดเดาได้ว่า มันจะเกิดขึ้นตอนไหน อย่างไร เวลาใด หรือที่่ตรงไหน เพราะความตายไม่มีนิมิตหมาย และชีวิตก็เป็นของน้อย
อุปมาเหมือนฟองน้ำ เมื่อหยาดฝนตกลงมากระทบผิวน้ำ ย่อมเกิดฟองน้ำ แต่ไม่นานฟองน้ำนั้นก็พลันแตกสลายไป ชีวิตเปรียนเหมือนหยาดน้ำค้างบนปลายยอดหญ้า เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยฉายแสง สาดส่อง ไม่ช้าหยดน้ำก็พลันเหือดแห้งหายไป ดังนั้นนักสร้างบารมีที่ยังอยู่ จะต้องรีบชิงช่วงเอาวันเวลาที่ยังแข็งแรงอยู่นี้ มาสร้างบารมีกันให้เต็มที่เต็มกำลัง ก่อนที่พญามัจจุราชจะช่วงชิงนำเราไปสู่ความตาย
เพราะอย่างไร ทุกๆ คนล้วนตายหมด ไม่มีใครเลยที่จะล่วงพ้นจากความตายไปได้ แล้วเราก็จะต้องตอกย้ำมโนปณิธาน ในการสร้างบารมีไปสู่ที่สุดแห่งธรรม ซึ่งลูกทุกๆ คนจะต้องอดทน เข้มแข็ง อย่าประมาทในการสร้างบารมี เพราะเรายังมีภารกิจที่ต้องกอบกู้ฟื้นฟูพระพุทธศาสนา เพื่อให้พระพุทธศาสนาอยู่คู่โลกใบนี้ตราบนานเท่านาน และให้ชาวโลกได้เข้าถึงพระธรรมกาย โดยช่วยกันเผยแผ่ขยายวิชชาธรรมกายไปทั่วโลก เพราะฉะนั้นลูกทุกๆคน อย่าได้ประมาทกันนะจ๊ะ
ทบทวนโอวาทหลวงพ่อธัมมชโย วันมหารำลึก ครั้งที่ 32 วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ณ หน้ารัตนบัลลังก์ สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย
โทษภัยของการโกหก
พระบรมศาสดาของเราทรงติเตียนผู้ที่กล่าวมุสาวาทมาก เพราะไม่มีกรรมชนิดใดที่ผู้กล่าวเท็จทำไม่ได้ พระพุทธองค์ยังตรัสถึงโทษของการกล่าวคำเท็จว่ามีนรกเป็นที่สุด
เรื่องนี้ทรงปรารภถึงพระเทวทัตที่ได้กล่าวเท็จ แล้วถูกแผ่นดินสูบเข้าสู่อเวจีมหานรก และพระองค์ยังตรัสถึงอดีตชาติของพระเทวทัตที่กล่าวเท็จ ทำให้ต้องเสื่อมจากฤทธิ์ ๔ ประการ เท่านั้นยังไม่พอ ยังถูกแผ่นดินสูบให้ไปบังเกิดในอเวจีมหานรกเพราะการกล่าวเท็จอีกด้วย
กรรมหนักของมุสาวาทนั้นใหญ่หลวงยิ่งนัก มีโทษถึงขั้นธรณีสูบ แม้จะเป็นการกล่าวที่ดูแล้วเราอาจจะคิดว่า ไม่หนักหนาสาหัสอะไร แต่นั่นหมายถึงว่า เราตั้งใจทำลายธรรมที่ดีงามให้หมดไป ผู้ที่ทำลายธรรมก็เท่ากับว่าทำลายตนเองนั่นเอง ความงอกงามแห่งธรรมจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยความสัตย์จริงและการปฏิบัติที่มั่นคง เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว จึงควรที่จะยึดมั่นในคำสัตย์จริงกันไว้ให้ดี ความสัตย์จะช่วยขจัดอันตรายที่ยั่งยืน และจะนำพาชีวิตของเราก้าวไปสู่ความปลอดภัยในสังสารวัฏ
โทษภัยของการพนัน
โทษของการพนันมีอย่างไรบ้าง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า โทษของการพนัน มีอย่างน้อย ๖ ประการ คือ
๑. ผู้ชนะย่อมก่อเวร ถึงแม้บางครั้งเราเกิด ฟลุกชนะขึ้นมา คนเสียพนันเขาก็เจ็บใจ บางทีเขาผูกเวรข้ามชาติ
๒. ผู้แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ เรารู้อยู่แล้วว่า การพนันจะเสียมากกว่าได้ เช่น คนซื้อสลากกินแบ่ง รัฐบาลก็รู้อยู่แล้วว่า เงินที่เขาเอามาแบ่งเป็นรางวัลนั้นประมาณครึ่งเดียว ดังนั้นถ้าเราจ่ายไป ๑๐๐ โอกาสจะได้กลับมาเหลือแค่ ๕๐ เท่านั้นเอง ถือเป็น การลงทุนที่ไม่คุ้มค่าที่สุด แต่ก็ชอบลุ้นเผื่อฟลุกว่าจะ เป็นคนโชคดี รู้ทั้งรู้ว่าโอกาสขาดทุนเยอะกว่า โอกาส จะได้กลับมาแค่ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เป็นการลงทุนที่ขาดทุนตั้งแต่เริ่มต้น แต่ก็อยากจะลุ้น แล้วพอเสียจริง ๆ ก็เสียดายเงิน แต่งวดหน้าเอาใหม่ แก้ตัวเผื่อฟลุก แต่ก็เสียอีก และจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงข้อ ๓
๓. ทรัพย์สินค่อย ๆ เสื่อมถอยไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหมดเนื้อหมดตัว ไฟไหม้ ๑๐ ครั้ง ยังไม่เท่าเสียพนัน เพราะจะเสียหมดทุกอย่างรวมทั้งแผ่นดินด้วย ไฟไหม้ยังเหลือที่ดิน แต่เล่นพนันไม่เหลือสักอย่าง ที่ดินยังไม่เหลือเลย
๔. คำพูดไม่มีคนเชื่อถือ คนที่ติดพนันจะ หาวิธีการทุกวิถีทางที่จะเอาทรัพย์มาเล่นพนันให้ได้ ยืมเงินใครได้ยืมหมด ไม่ว่าญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูง อ้างนั่นอ้างนี่ โกหกพกลมจนทุกคนเหม็นหน้า เพราะ ว่าต้องการหาเงินมาให้ได้อย่างเดียว ขโมยของก็ ยังเอาเลย จะได้เอาเงินมาแก้ตัว มาเล่นพนันต่อ เพราะฉะนั้นเครดิตของคนที่เล่นพนันจึงไม่มีเหลือ จะพูดจาอะไรเขาไม่อยากจะเชื่อ
๕. ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม เดิมเคยมีหน้า มีตาอย่างไร พอติดพนันเข้าแล้ว นอกจากไม่มีใครเชื่อคำพูด ต่อไปเขาจะดูถูกเอาด้วยว่าเป็นนักพนัน เชื่อถือไม่ได้
๖. ไม่มีใครอยากแต่งงานด้วย เราลองถามตัวเราก็แล้วกันว่า ถ้าเราจะมีครอบครัว และรู้มา ก่อนว่าฝ่ายหญิงฝ่ายชายเป็นนักการพนันตัวยง ถามว่าจะอยากแต่งงานกับเขาไหม ทุกคนบอกไม่อยาก เพราะมองไปข้างหน้าก็รู้แล้วว่าลูกเต้าลำบาก แน่ หรือถ้าเราเป็นผู้ใหญ่ เราจะอยากให้ลูกเราไปแต่งงานกับนักการพนันหรือเปล่า ไม่มีใครอยาก ฉะนั้นใครเป็นเซียนพนัน ติดการพนันเข้าไปแล้ว ไม่มีใครอยากแต่งงานด้วย
นี่คือโทษโดยย่อของการพนัน สรุปง่าย ๆ ก็คือ
๑. หมดเงิน หมดทรัพย์สิน
๒. หมดเครดิต ไม่มีคนเชื่อคำพูด ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม และไม่มีคนอยากแต่งงานด้วย
๓. เป็นการสร้างเวรสร้างกรรม เป็นวิบากกรรมผูกพันกันไป
วิบากกรรม วิบากกาม : ศีลข้อ 3
เมื่อตอนเป็นมนุษย์ มีใจหมกมุ่นในเรื่องกามคุณ ถ้าเป็นผู้ชายก็เป็นคนเจ้าชู้ มีเมียหลายคน ถ้าเป็นหญิงก็มักมากในกาม เปลี่ยนผู้ชายไม่ซ้ำหน้า แม้มีครอบครัวแล้วก็ยังชอบเที่ยวกลางคืนตามแหล่งบันเทิง คลับ บาร์ และซ่องโสเภณี ฝ่ายหญิงก็ชอบคบชู้สู่ชายเป็นประจำ ทำให้เกิดการหึงหวงถึงขั้นลงมือลงไม้ เกิดความร้าวฉานในครอบครัว ต่างฝ่ายต่างไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน สุขภาพกายและสุขภาพใจก็เสื่อมโทรม เป็นทางมาแห่งโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เช่น กามโรค โรคเอดส์ เป็นต้น
บางครั้งถึงขนาดจ้างวานฆ่ากัน เช่น ภรรยาจ้างวานฆ่าสามีที่มีเมียน้อย หรือสามีฆ่าภรรยาที่นอกใจ จนกระทั่งเกิดปัญหาสังคม ครอบครัวเดือดร้อน ลูกขาดความอบอุ่น เห็นพ่อแม่เจ้าชู้ก็ทำตาม มีนิสัยเจ้าชู้และชอบความรุนแรง ชอบเที่ยวกลางคืน ติดเหล้าเมายา มีเพศสัมพันธ์ในวัยที่ไม่ควร เมื่อทำผิดพลาดก็แก้ปัญหาโดยการทำแท้ง ทำให้เกิดปัญหาลูกโซ่เช่นนี้มากมาย ไม่รู้จักจบสิ้น คนเหล่านี้เนื่องจากผิดศีลข้อ ๓ เป็นอาจิณ เมื่อก่อนจะละโลกจึงเห็นกรรมนิมิตที่ตนทำเอาไว้ จึงมีคตินิมิตดำมืด ทำให้ไปเกิดในมหานรกขุมที่ ๓ จะไปโดนรุมทึ้งจากนายนิรยบาล และมิสนิรยบาล ลงโทษด้วยประการต่าง ๆ ตามกรรมหนักหรือเบา ยกตัวอย่างเช่น
พวกที่มีกรรมเป็นชู้กับสามีหรือภรรยาของผู้อื่น ก็จะไปเกิดเป็นสัตว์นรก ถูกนายนิรยบาลจับตัวแล้วโยนลงไปในหลุมน้ำกามกรด ซึ่งร่างของสัตว์นรกก็จะถูกน้ำกามกรดกัดกินละลายจนตายในที่สุด เมื่อเกิดขึ้นมาใหม่ ก็ไปโดนนายนิรยบาลใช้มีดอันคมกริบเฉาะ ฉับ เชือดอุปกรณ์ทำความชั่ว ขาดแล้วขาดอีก แล้วกลับก็บันดาลให้อวัยวะงอกออกมาเป็นเพศผู้หญิง แล้วถูกนายนิรยบาลที่มีอวัยวะเพศใหญ่เป็นเหล็กร้อนบ้าง เป็นกระบองหนามร้อนบ้าง เป็นรูปร่างคล้ายมะเฟืองมีความคมเหมือนมีดทะลวงเข้าไป แล้วพ่นน้ำกามกรดเข้าไปในตัวจนละลาย แล้วก็เกิดใหม่ก็ถูกกระบองที่มีรูปร่างคล้ายอวัยวะเพศทุบจนตาย เมื่อเกิดใหม่ก็ถูกนายนิรยบาลรุมซ้อมตบตี แล้วเอาดาบมาคว้านในอวัยวะที่กลายเป็นเพศหญิงจนตาย เป็นต้น สุดจะพรรณนา
เมื่อพ้นจากมหานรกก็ไปเกิดในอุสสทนรก ไปถูกทรมานในทะเลน้ำกามกรด โดยจะมีหนอนคล้ายตัวสเปิร์มคอยไชแทงทั้งตัว ทุกข์ทรมานมาก แล้วก็ไปโดนปลาที่มีลักษณะคล้ายอวัยวะเพศ คอยไล่งับ พอขึ้นบก ก็ถูกหมาที่มีหัวเป็นลักษณะคล้ายอวัยวะเพศชายบ้าง เพศหญิงบ้าง คอยไล่กัด เป็นต้น สุดพรรณนา บางพวกก็มีอุปกรณ์ในการทำความชั่วยาวยืดออกมามีขนาดใหญ่และหนักเหมือนเหล็กทำให้สัตว์นรกต้องวิ่งถอยหลังลากอุปกรณ์อันหนักอึ้ง แล้วนายนิรยบาลก็แปลงเป็นสุนัขเขี้ยวเหล็กวิ่งไล่งับอุปกรณ์ของสัตว์นรก ได้รับความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานมาก
โทษภัยของการลักขโมย : ศีลข้อ 2
สภาพสังคมที่วุ่นวายในปัจจุบัน ทุกชีวิตแทบจะมีลมหายใจอยู่บนเส้นทางแห่งการแก่งแย่ง แข่งขัน ช่วงชิง ขวักไขว่ เสาะแสวงหาสิ่งที่ตนปรารถนามาครอบครอง แต่ทว่า การได้สิ่งเหล่านั้นมาด้วยความโลภ อยากได้มาเป็นของๆ ตนโดยมิชอบธรรมแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นการลักขโมยซึ่งเป็นการผิดศีล 5 ข้อที่ 2 คือมีเจตนาจะขโมยสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้มาเป็นของตนได้สำเร็จ โดยมีความตั้งใจที่จะยึดเอามาเป็นของตนให้ได้ ถ้าทำครบองค์ 5 ประการก็ถือว่าผิดศีลทันที
องค์ประกอบของการทำผิดศีลข้อ 2 ต้องประกอบด้วยองค์ 5 ประการคือ
1. ทรัพย์หรือสิ่งของนั้นมีเจ้าของหวงแหน
2. รู้ว่าทรัพย์หรือสิ่งของนั้นมีเจ้าของหวงแหน
3. มีเจตนาคิดที่จะลักทรัพย์หรือสิ่งของนั้น
4. พยายามลักทรัพย์นั้น
5. ได้ทรัพย์หรือสิ่งของนั้นมาด้วยความพยายาม
ผู้ละเมิดศีลข้อที่ 2 ก่อนที่จะละจากโลกนี้ไปนั้น ได้มีภาพกรรมนิมิตที่ตนเคยทำมานั้น มาฉายปรากฏให้เห็น จิตจะเศร้าหมองไม่ผ่องใส ย่อมไปบังเกิดในนรกทันที ดังนั้น..เมื่อเราทราบถึงวิบากกรรมของการลักขโมย ซึ่งเป็นการผิดศีลข้อที่ 2 แล้วนั้น ก็ควรหักดิบเลิกพฤติกรรมที่ได้กล่าวมาแล้วตั้งแต่ตอนต้นให้หมด แล้วหันมาประกอบสัมมาอาชีวะ คือการเลี้ยงชีพในทางสุจริต โดยไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้ได้รับความเดือดร้อน และเพื่อให้ปลอดภัยในทรัพย์สินของตนเองและผู้อื่น ซึ่งจะทำให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขตลอดไป
วิบากกรรม ปาณาติบาต : ศีลข้อ 1
สรรพชีวิตไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ เมื่อเกิดมามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ย่อมมีความรักตัว กลัวเจ็บ กลัวตาย ด้วยกันทั้งสิ้น พูดได้ว่า ไม่มีใครเลยที่จะไม่กลัวตาย ไม่ต้องพูดถึงใครที่ไหนอื่นให้ไกลไป ดูแต่ตัวของเราเถิด เมื่อนึกถึงความตายขึ้นมาคราวใด ก็ให้รู้สึกหวั่นใจขึ้นมาคราวนั้น ที่เรากลัวตายนั้น ก็เพราะเหตุว่า เราไม่อยากพลัดพรากจากบุคคลและทรัพย์สมบัติอันเป็นที่รัก อีกทั้งกลัวเพราะไม่รู้ว่า เมื่อตายไปแล้ว จะต้องไปเจอกับอะไร ทุกข์ยากมากแค่ไหน หรือแม้กระทั่งคนที่ไม่เชื่อว่ามีโลกหน้า คือเชื่อว่าตายแล้วสูญ สิ้นเชื้อเหลือแต่ขี้เถ้าก็ตาม ถึงกระนั้นก็ยังกลัวตายอยู่ดี เพราะตัวเขาเองยังไม่มั่นใจเหมือนกัน ถ้าหากว่าโลกหน้าเกิดมีจริงๆขึ้นมา เราจะไม่แย่หรือ จึงพอจะกล่าวโดยรวมได้ว่า สรรพชีวิตเมื่อเกิดมาแล้ว ย่อมรักตัวกลัวตายด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้น กฎแห่งมนุษยธรรมข้อแรกจึงเกิดขึ้นมา โดยมนุษย์ทุกคนต้องมีข้อตกลงร่วมกันว่า จะต้องไม่ฆ่า และไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน
องค์ประกอบของการผิดศีลข้อที่ 1 มี 5 ประการ คือ
1. คนหรือสัตว์นั้นมีชีวิต
2. รู้ว่าคนหรือสัตว์นั้นมีชีวิต
3. มีจิตคิดจะฆ่าคนหรือสัตว์นั้น
4. ทความพยายามฆ่าคนหรือสัตว์นั้น คือลงมือฆ่าด้วยตัวเอง หรือใช้ผู้อื่นให้ฆ่า
5. คนหรือสัตว์นั้นตายด้วยความพยายามนั้น
ดังนั้นเมื่อเราทราบถึงความเป็นจริงของชีวิตนี้แล้ว ควรงดเว้นจากการฆ่า การทำร้ายร่างกาย การทรมานเบียดเบียน ทั้งคนและสัตว์อย่างเด็ดขาด เพื่อที่เราจะได้รับอานิสงส์จากการรักษาศีลในข้อที่1คื จะทำให้เรามีร่างกายที่สมส่วน ไม่พิการ มีผิวพรรณที่เปล่งปลั่งสดใส ไม่มีใครมาทำร้ายเราได้ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน เป็นผู้ที่มีอายุขัยยืนยาวนาน
7 วันหลังความตาย : ICU
ความตายเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญความจริงข้อนี้ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ แต่ความจริงหลังความตายกลับกลายเป็นเรื่องที่มนุษย์ปฏิเสธที่จะยอมรับ เพราะยากต่อการพิสูจน์และอธิบายอย่างเป็นเหตุเป็นผล มีเพียงบุคคลเดียวที่อธิบายชีวิตหลังความตายพร้อมวิธีการพิสูจน์ไว้เมื่อ 2500 กว่าปีที่แล้ว นั่นคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงค้นพบว่ามนุษย์ตายแล้วไปไหนทั้งยังทรงแสดงให้เห็นว่าโลกหลังความตายมีอยู่จริงด้วยการเปิดโลกในวันออกพรรษาเป็นที่มาแห่งการพ่นบังไฟของพญานาคซึ่งเป็นประจักษ์พยานการเปิดโลกของพุทธองค์มาจนทุกวันนี้นอกจากนี้พระองค์ยังได้ทิ้งมรดกธรรมคือ วิธีการที่จะติดตามการเดินทางหลังความตายของมนุษย์ วิธีการนี้เป็นวิธีการสากลที่ทุกคนสามารถพิสูจน์ได้ ไม่จำกัดเพศ อายุ เชื่อชาติ ศาสนา วิธีการนี้เป็นวิธีการที่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษในการพิสูจน์ เครื่องมือนั้นต้องมีความเร็วเหนือแสง สิ่งนั้นคือ “ดวงจิต” ของมนุษย์ เมื่อใดที่ดวงจิตของมนุษย์รวมกันเป็นหนึ่งก็จะมีพลังงานมหาศาล เช่นเดียวกับเลนส์นูนที่สามารถรวมพลังงานแสงจนจุดติดไฟได้ การทำสมาธิสามารถทำให้ใจหยุดนิ่งเป็นหนึ่ง เมื่อใจรวมหยุดเป็นจุดเดียวจึงจะสามารถเดินทางไปพิสูจน์ความจริงหลังความตายได้
โลกหลังความตายเป็นความรู้สากล ที่ทุกคนควรศึกษาเพื่อการดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท วิธีการไปศึกษาชีวิตหลังความตายทำได้ 3 วิธี คือ
1. อาศัยบารมีธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงปาฏิหาริย์เปิดโลก
2. นั่งสมาธิฝึกจิตเพื่อเดินทางไปดู
3. ตายแล้วไปรู้ไปเห็น
หากเราไม่ศรัทธาในความจริงแห่งชีวิตในขณะที่เรายังมีลมหายใจ โอกาสเดียวที่เราจะได้พิสูจน์ คือเมื่อมรณะภัยมาเยือนดังนั้นอย่ารอจนกว่าจะสาย จะเชื่อตอนเป็น หรือจะเห็นตอนตาย”พิสูจน์ได้ด้วยตัวคุณเอง
อัศจรรย์วันข้ามภพ : The Miracle Day
เรื่องราวการทะลุมิติของ “แม็ค” เด็กหนุ่มผู้ไปเยือนเกาะดินแดนลี้ลับที่ว่ากันว่าเป็นจุดเชื่อมภพกับเมืองพญานาคใต้ลำน้ำโขง แม็คได้สัมผัสกับอีกภพภูมิหนึ่งที่ซ้อนอยู่กับโลกมนุษย์
แต่เหตุการณ์กลับพลิกผัน เมื่อเขาต้องอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ของครุฑกับนาค แม็คจะรอดกลับมาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับครุฑยุดนาคครั้งนี้
รักแลกภพ : The Love
เมื่อความรักที่เกิดขึ้นระหว่าง บุ๊ค เด็กหนุ่มผู้ขาดความมั่นใจในตนเองกับเจน เด็กสาวผู้โหยหาความรัก ได้ก้าวลงสู่ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่ต้องแลกมาด้วยชีวิต ทั้งเขาและเธอไม่อาจล่วงรู้ได้ว่า ต้องไปพบเจอกับสิ่งที่ไม่อาจคาดฝันได้ ผลที่ต้องเจอข้างหน้าช่างหนักหนาและโหดร้าย เกินกว่าจินตนาการ ทั้งคู่จะสามารถแก้ไขวิกฤตชีวิตครั้งสำคัญนี้ได้หรือไม่...
สามเณรแสดงธรรม นิทรรศการพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดาเอกของโลก
การบังเกิดขึ้นขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระธรรมคำสอนที่คงอยู่คู่โลกมายาวนานกว่า 2,600 ปี ที่จุดประกายสร้างแรงบันดาลใจให้สามเณร ในโครงการบรรพชาสามเณรฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ได้เรียนรู้วิถีการสร้างบารมีบนเส้นทางของพระมหาบุรุษ ที่ทุ่มเทเอาชีวิตเป็นเดิมพันต่อกรกับพญามารด้วยศึกสงครามภายใน และชนะได้ด้วยการหยุดนิ่งสู่ทางสายกลางตรงต่อพระนิพพาน พร้อมค้นพบพระธรรมคำสอนที่เป็นดั่งแสงสว่างภายในนำใจคนทั้งโลก
รู้ทันวิบากกรรม | กฎแห่งกรรม
เรื่องกฎแห่งกรรมในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท เริ่มจากความเป็นมาเกี่ยวกับความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม ประเภทการส่งผลของกฎแห่งกรรม ที่มาของความสุขและทุกข์จากกรรม กรรมกำหนดทิศทางชีวิตในปรโลก กรรมกับการเดินทางไปสู่ปรโลก และการดำเนินชีวิตภายใต้กฎแห่งกรรม
ละครฟื้นฟูศีลธรรมโลก | World Ethical Resoration Drama
ละครฟื้นฟูศีลธรรมโลกนี้เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการฟื้นฟูศีลธรรมโลก ซึ่งมุ่งหวังจะสร้างผู้นำเยาวชนโลกที่ต้นแบบทั้งด้านศีลธรรมและคุณธรรม
ละครฟื้นฟูศีลธรรมโลก ไม่ใช่เพียงเรื่องราวที่เกิดจากกลุ่มเยาวชนผู้นำฟื้นฟูศีลธรรมโลกเท่านั้น แต่รวมไปถึงเรื่องราวการสร้างความดี การเปลี่ยนแปลงชีวิตในทางที่ดีขึ้นของบุคคลหลายกลุ่ม ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นและถ่ายทอดผ่านละครฟื้นฟูศีลธรรมโลกนั้นล้วนเป็นเรื่องจริง
สามเณรแสดงธรรม Idols 14 สามเณรอรหันต์
การแสดงธรรมของตัวแทนสามเณรใน "นิทรรศการ Idols 14 สามเณรอรหันต์" เพื่อให้ความรู้ ควบคู่ความสนุกสนาน เสริมสร้างคุณธรรมและเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกรูปทุกท่านที่ได้เข้าชมได้มีกำลังใจในการละชั่ว ทำความดี และทำใจให้บริสุทธิ์ ด้วยเรื่องราวประวัติของสามเณรอรหันต์เป็นจำนวนถึง 14 รูป ในยุคพุทธกาลที่เป็นต้นแบบ และแรงใจให้เหล่าสามเณรที่เข้าชมได้เอาเป็นตัวอย่าง
ธรรมะเพื่อประชาชน
"ธรรมะเพื่อประชาชน" เป็นความรู้ธรรมะที่หลวงพ่อธัมมชโย นำมาถ่ายทอดแก่ชาวโลก ทำให้ผู้ฟังทุกระดับ ทุกเพศ ทุกวัย สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี เป็นความรู้ที่แฝงคติ มีสาระประโยชน์ มีความลุ่มลึกไปตามลำดับ ก่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องสมบูรณ์ อันจะเป็นเหตุให้เกิดการพัฒนาจิตใจ และเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทางที่ดีขึ้น เพราะสามารถดำเนินชีวิตได้ถูกต้องตามหลักวิชชาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เปรต ผู้ทนทรมานจากผลของบาป
"เปรต" คือ อดีตมนุษย์หรือเทวดาที่เคยทำบาปหนักได้ชดใช้กรรมส่วนใหญ่แล้วในมหานรก อุสสทนรก และยมโลกแล้ว แต่ยังมีเศษกรรมอยู่ทำให้ต้องมาเกิดเป็นเปรตมีความทุกข์ทรมานแสนสาหัสมีอายุขัยหลายล้านปีมนุษย์ เปรตมีหลายจำพวก หลายตระกูลขึ้นอยู่กับกรรมชั่วที่เคยทำไว้การจะพ้นจากสภาพเปรตได้นั้น ต้องอาศัยบุญผู้อุทิศให้ หรือต้องชดใช้กรรมที่ทำไว้จนหมดสิ้น
เปรตแบ่งได้ 4 ประเภท ดังนี้
* ปรทัตตุปชีวิกเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ จากอาหารที่มีมนุษย์ให้ เช่น การเซ่นไหว้ เป็นต้น (พบเห็นได้ในมนุษยภูมิ คือ อยู่บนพื้นโลกมนุษย์)
* ขุปปีปาสิกเปรต คือ เปรตที่อดอยาก ทุกข์จากความหิวโหยอยู่เป็นนิจ
* นิชฌามตัณหิกเปรต คือ เปรตที่ถูกไฟเผาให้เร่าร้อนอยู่เสมอ
* กาลกัญจิกเปรต คือ เปรตในจำพวกอสุรกาย